เราอาจจะเคยได้ยินชื่อแก๊สไข่เน่า มานานแล้ว แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าแก๊สไข่เน่าสามารถปลิดชีวิตคนได้ จากรายละเอียดตามตารางข้างล่างนี้
ผลกระทบทางสรีระวิทยาของก๊าซไข่เน่า
ความเข้มข้นก๊าซไข่เน่าในอากาศ (ส่วนในล้านส่วน : ppm) ผลกระทบ 30กลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่า 100ประสาทรับรู้กลิ่นเสื่อมสภาพใน 2-15 นาที 200ไอและตาแดง 300ประสาทรับรู้กลิ่นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว 600สิ้นสติภายใน 30นาที 800สิ้นสติอย่างรวดเร็ว 1,000สิ้นสติทันที 2,000เสียชีวิตในไม่กี่นาที
Hydrogen sulfideชื่อ แก๊สไข่เน่า (Hydrogen sulfide)ชื่ออื่น Sewer gas, Sour gas, Pit gas, Hydrosulfuric acid, Sulfuretted hydrogen, Sulfur hydrideสูตรโมเลกุล H2Sน้ำหนักโมเลกุล 34.1CAS Number 7783 – 06 – 4UN Number 1053ลักษณะทางกายภาพ
แก๊สไม่มีสี มีกลิ่นเหม็นคล้ายไข่เน่า หนักกว่าอากาศ
คำอธิบาย
แก๊สไข่เน่าเป็นแก๊สที่มีกลิ่นเหม็น เกิดจากการย่อยสลายของซากของเสียและสิ่งมีชีวิต แก๊สชนิดนี้เป็นแก๊สสำลัก (asphyxiant) ที่มีพิษรุนแรง ทำให้เกิดการตายได้บ่อย โดยเฉพาะในกรณีการลงสู่หลุมบ่อที่มีลักษณะอับอากาศ เช่น ใต้ท้องเรือประมงที่มีซากปลาเน่าหมักหมม บ่อเก็บมูลสัตว์ทำปุ๋ยคอก เป็นต้น
ค่ามาตรฐานในสถานที่ทำงาน
ACGIH TLV – TWA 10 ppm, STEL 15 ppm
NIOSH REL – C 10 ppm (15 mg/m3)
OSHA PEL – C 20 ppm, Maximum peak 50 ppm in 10 minutes |||||
IDLH 100 ppm
กฎหมายแรงงานไทย C 20 ppm, Maximum peak 50 ppm in 10 minutes
ค่ามาตรฐานในสิ่งแวดล้อม NAAQS – N/A ||||| กฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย – ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เล่มที่ 123 ตอนที่ 50ง (พ.ศ. 2549) มาตรฐานอากาศเสียที่ระบายออกจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม ต้องไม่เกิน 100 ppm ในกระบวนการผลิตที่ไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง และไม่เกิน 80 ppm ในกระบวนการผลิตที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง
ค่ามาตรฐานในร่างกาย ACGIH BEI - N/Aคุณสมบัติก่อมะเร็ง IARC N/A ||||| ACGIH N/A
แหล่งที่พบในธรรมชาติ แก๊สไข่เน่าพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ แก๊สนี้เกิดขึ้นจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ที่มีธาตุกำมะถันเป็นองค์ประกอบ เช่น มูลสัตว์ ขยะของเสีย ซากสิ่งมีชีวิต ในทะเลลึกมีแก๊สชนิดนี้ผสมอยู่ด้วยเนื่องจากการย่อยสลายของซากสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ในการเกิดภูเขาไฟระเบิดก็จะมีการปล่อยแก๊สชนิดนี้ออกมาด้วย (Volcanic gas)
สถานประกอบการที่มีโอกาสพบแก๊สชนิดนี้
- ในบ่อปุ๋ยหมัก ที่ทำจากมูลสัตว์ เช่น มูลโค มูลสุกร ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์
- ในบ่อบำบัดน้ำเสีย งานลอกท่อระบายน้ำ งานบำบัดน้ำเสีย
- ใต้ท้องเรือประมง ซึ่งมีช่องเก็บปลาอยู่ ภายในมีซากปลาเน่าหมักหมม
- ในโรงสีข้าวหรือโรงเก็บข้าวโพดบางแห่ง ยุ้งฉางจะมีกลไกการขนข้าวเข้าภายในด้วยสายพาน ซึ่งใต้เครื่องจักรชนิดนี้จะมีช่องขนาดเล็กที่มีเศษข้าวหรือข้าวโพดตกลงไปหมักหมมอยู่ได้
- งานขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสสารนี้จากแหล่งฟอสซิลในทะเล รวมถึงงานกลั่นน้ำมันและแก๊สธรรมชาติด้วย
- เหมืองถ่านหินที่อยู่ใต้ดิน
- ใช้เป็นสารน้ำอย่างหนึ่งในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ [1]
- ในบ่อน้ำร้อนบางแหล่งที่มีกำมะถันสูง [2]
- เป็นผลที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต (By product) ของ โรงฟอกหนัง โรงทำเยื่อกระดาษ ไอร้อนของยางมะตอย (asphalt fume) และโรงงานผลิตคาร์บอนไดซัลไฟด์ (carbon disulfide ) [2]
กลไกการก่อโรค เข้าจับและยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cytochrome oxidase ใน mitochondria ทำให้ เซลล์ไม่สามารถหายใจได้ (cellular asphyxiant) กลไกนี้เป็นกลไกเดียวกับพิษของไซยาไนด์ (cyanide) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อบุโดยตรง เช่น ตา จมูก หลอดลม ปอด ทำให้ปอดบวมน้ำด้วย
การเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
- สถานที่เกิดเหตุการณ์ได้รับสารพิษชนิดนี้ที่พบบ่อยที่สุดคือประสบเหตุอยู่ในที่อับอากาศ ผู้ที่เข้าไปกู้ภัยจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่อับอากาศ (Confined space) อย่างดีเพียงพอแล้วเท่านั้นจึงจะเข้าไปทำการกู้ภัย ได้ การลงสู่ที่อับอากาศจะต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดที่มีถังบรรจุอากาศในตัว (Self-contained breathing apparatus, SCBA) เท่านั้น และต้องมีทีมงานคอยช่วยเหลืออยู่ด้านบนด้วย
- แก๊สชนิดนี้หนักกว่าอากาศ มีกลิ่นฉุนเหม็นจัด ระดับรับสัมผัสกลิ่นอยู่ที่เพียง 0.025 ppm เท่านั้น แก๊สติดไฟได้ง่าย และเกิดการระเบิดได้ (NFPA Code: H4 F4 R0) ทีมกู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือไม่ควรก่อประกายไฟในบริเวณที่เกิดเหตุเด็ดขาด [3]
อาการทางคลินิก
- อาการเฉียบพลัน ประกอบด้วยอาการจากฤทธิ์ระคายเคืองกับอาการจากฤทธิ์ยับยั้งการหายใจของเซลล์ ||||| อาการระคายเคืองจะทำให้จมูกไม่ได้กลิ่น (Olfactory nerve paralysis) เกิดได้ที่ความเข้มข้น 100 – 150 ppm ซึ่งทำให้สูญเสียความสามารถในการระมัดระวังตัวไป อาการเคืองตา จมูก คอ หลอดลม แสบหน้าอก หายใจเร็ว หายใจสั้น เกิดขึ้นได้บ่อย อาจพบมีหนังตากระตุก หรือผิวหนังแสบร้อนเกิดขึ้นได้ อาการระคายเคืองปอดจะทำให้ปอดบวมน้ำ (noncardiogenic pulmonary edema) เกิดการอักเสบของเนื้อปอด (chemical pneumonitis) อาการเกิดขึ้นได้ภายใน 2 – 3 ชั่วโมงหลังการสัมผัส ||||| ส่วนอาการจากฤทธิ์ยับยั้งการหายใจจะเกิดได้เร็วกว่า เนื่องจากแก๊สที่สูดดมเข้าไปสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีมาก ที่ความเข้มข้น 600 – 800 ppm มักจะทำให้ผู้ที่สูดดมแก๊สหมดสติและเสียชีวิตไปในทันทีทันใด (knockdown) อาการนี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยมากสำหรับการประสบเหตุจากแก๊สชนิดนี้ กรณีอาการรุนแรงน้อยกว่าจะพบ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน คลุ้มคลั่ง ชัก และโคม่าได้
- อาการระยะยาว การสัมผัสปริมาณน้อยๆ ในระยะยาว จะทำให้เกิดระคายเคืองตา กระจกตาเป็นแผล มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เมื่อได้รับกลิ่นไปนานๆ จมูกจะปรับตัวทำให้ไม่ได้กลิ่นแก๊สนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่สามารถระมัดระวังตัวได้เมื่อแก๊สนี้มีปริมาณสูงผิดปกติและมีกลิ่นฉุนแรงขึ้น [4] กรณีผู้รอดชีวิตจากการสูดดมแก๊สในปริมาณมาก อาจมีอาการอารมณ์แปรปรวน บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง การคิดคำนวณของสมองทำได้ไม่ดี และจมูกไม่ได้กลิ่น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- การตรวจวินิจฉัยพิษจากแก๊สไข่เน่าให้ใช้ประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก แก๊สชนิดนี้ไม่มีตัวบ่งชี้การสัมผัส (No biomarker) การตรวจระดับ sulfhemoglobin ไม่ได้ช่วยในการยืนยันการสัมผัส [2]
- ประวัติและอาการที่สนับสนุนคือ ประวัติหมดสติล้มลงไปในทันทีที่ได้รับแก๊สพิษ เพื่อนร่วมงานหรือหน่วยกู้ภัยได้กลิ่นเหม็นฉุนในบริเวณเกิดเหตุ เหรียญเงินหรือวัตถุที่เป็นเงินในตัวผู้ป่วยเปลี่ยนเป็นสีดำ เนื่องจากทำปฏิกิริยากับแก๊สไข่เน่าเปลี่ยนเป็น Silver sulfide
- การตรวจอื่นๆ ที่ช่วยในการรักษาคือ การตรวจภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray) ระดับแก๊สในเลือด (blood gas) การตรวจติดตามระดับออกซิเจน (pulse oxymetry) ระดับเกลือแร่ในเลือด (electrolyte) และระดับน้ำตาลในเลือด (blood sugar) ทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
การดูแลรักษา
- ปฐมพยาบาล นำผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด กรณีผู้ป่วยติดอยู่ในที่อับอากาศผู้ที่เข้าไปช่วยต้องใส่ Self-contained breathing apparatus ลงไปเท่านั้น เมื่อนำผู้ป่วยขึ้นมาให้อยู่ในที่อากาศถ่ายเทดี ถอดเสื้อผ้าที่คับแน่นออก เปิดทางเดินหายใจ ใส่ท่อช่วยหายใจถ้าไม่หายใจ ให้ออกซิเจนเสริม ถ้าหัวใจหยุดเต้นแล้วให้รีบทำการนวดหัวใจช่วยชีวิต (cardiopulmonary resuscitation, CPR) มีรายงานว่าถ้าหัวใจพึ่งหยุดเต้นไปไม่นาน ถ้านวดหัวใจช่วยขึ้นมาได้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับฟื้นคืนสติ [5]
- การรักษา ระยะวิกฤตให้ดูสัญญาณชีพ ช่วยการหายใจ สังเกตระบบไหลเวียนโลหิต ถ้ามีอาการชัก ความดันโลหิตต่ำ หรือไม่รู้สึกตัว ให้ทำการรักษา ||||| เมื่อพ้นระยะวิกฤตแล้วให้สังเกตอาการปอดบวมน้ำ และเนื้อปอดอักเสบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ภายใน 2 – 3 ชั่วโมงต่อมา ||||| ยาต้านพิษนั้น โดยทฤษฎีแล้ว nitrite สามารถลดพิษได้เช่นเดียวกับกรณีของ cyanide คือสร้าง methemoglobin จาก hemoglobin จากนั้น methemoglobin ที่เกิดขึ้นเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้เปลี่ยน sulfide ions เป็น sulfhemoglobin ได้ อย่างไรก็ตามการ sulfhemoglobin ที่เกิดขึ้นก็อาจทำให้การขนส่งออกซิเจนแย่ลง การให้ยาต้านชนิดนี้ในผู้ป่วยได้รับพิษแก๊สไข่เน่ายังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ถ้าจะให้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การให้ยากรณีหายใจได้เองให้ amyl nitrite 1 – 2 ampules via ambulatory bag ทุก 3 นาที สูงสุดได้ 6 ampules ถ้าผู้ป่วยหมดสติหรือเปิดเส้นได้แล้วเปลี่ยนเป็นให้ 3 % sodium nitrite 10 ml (300 mg) IV ฉีดนาน 3 – 5 นาที ให้ยาชนิดนี้แล้วต้องระวังความดันโลหิตต่ำด้วย [2, 4] ||||| มีรายงานว่าการให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูงในห้องปรับความดันอากาศ (hyperbaric oxygen, HBO) อาจช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามไม่มีผลการศึกษายืนยันที่ชัดเจนในเรื่องนี้ [2]
การป้องกัน
เนื่องจากพิษของแก๊สไข่เน่ามีความรุนแรงสูงมาก กรณีที่อยู่ในที่อับอากาศอาการมักเกิดขึ้นทันที และทำให้เสียชีวิตทันที การป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุดในการลดการตายจากแก๊สชนิดนี้ การให้ความรู้แก่ผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในที่อับอากาศ การตรวจสุขภาพก่อนปฏิบัติงานเป็นสิ่งจำเป็น ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงควรติดตั้งเครื่องตรวจวัดแก๊สชนิดนี้ และติดตั้งสัญญาณเตือนภัยเมื่อมีการรั่วไหล [1]
เอกสารอ้างอิง
- Beckett WS. Chemical Asphyxiants. In: Rom WN, Markovitz SB, eds. Environmental and occupational medicine. 4th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins 2007:566 - 7.
- Olson KR, Anderson IB, Benowitz NL, Blanc PD, Clark RF, Kearney TE, et al. Poisoning & drug overdose. the California Poison Control System. 5th ed. New York: McGraw-Hill 2004.
- International Programme on Chemical Safety. International Chemical Safety Cards (ICSCs). Geneva: International Labour Office 1998.
- Farrow C, Wheeler H, Bates N, Murray V. The chemical incident management handbook. London: The Stationery Office 2000.
- Wilkenfeld M. Simple Asphyxiants. In: Rom WN, Markovitz SB, eds. Environmental and occupational medicine. 4th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins 2007:559 - 60
Reference:
http://www.summacheeva.org/index_thaitox_hydrogen_sulfide.htm
http://www.summacheeva.org/index_thaitox_hydrogen_sulfide.htm
https://i.cbc.ca/1.3042878.1429658513!/fileImage/httpImage/image.jpg_gen/derivatives/16x9_1180/sour-gas-well-site-in-southeast-sask.jpg
WWW.FACEBOOK.COM/CLNCLEAN
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น